green and brown plant on water

โลกุตระอภิญญา เเละญานเเปดเพื่อมรรคผล

เวลาอ่าน : 4 นาที

เสียงธรรมจากห้อง “เมตตาภิรมย์กรรมฐาน”

วันเสาร์ที่ 13 กรกฏาคม 2568

เรื่อง โลกุตระอภิญญา เเละญานเเปดเพื่อมรรคผล

โดย อาจารย์ คณานันท์ ทวีโภค

กำหนดสติในความรู้สึกตัวทั่วพร้อม ผ่อนคลายร่างกายกล้ามเนื้อทุกส่วนปล่อยวางกำลังจากร่างกายแขนขา ปลดปล่อยกำลังออกไปให้หมด ตัดกาย ตัดขันธ์ ๕ ตัดผัสสะความเชื่อมโยงระหว่างกายกับจิต ผ่อนคลายเพื่อปล่อยวางขันธ์ ๕ ร่างกาย จนจิตเข้าถึงความสงบ เบา สบาย จากนั้นกำหนดจิตต่อไป ใช้สติกำหนดรู้ ในลมหายใจ จินตภาพเห็นลมหายใจเป็นเหมือนกับแพรวไหมพลิ้วผ่านเข้าออก ลมหายใจที่ผ่านเข้าออกกาย ลมหายใจละเอียด เบา สบาย สงบ ยิ่งฝึกฝนในการกำหนดรู้ในลมหายใจ ลมหายใจที่เหมือนกับแพรวไหม เพียงเมื่อเรากำหนดรู้ลมหายใจ เราก็เข้าสู่สภาวะที่ลมหายใจมีความเบาละเอียด สบาย สงบ เมื่อจิตสงบแล้วเราก็เดินจิตต่อไป ลมหายใจที่เบา ที่ละเอียด เรากำหนด “หยุด หยุดจิต หยุดคิด หยุดการปรุงแต่ง นิ่งหยุด หยุดเป็นตัวสำเร็จ หยุดอกุศลจิต หยุดความคิด อุเบกขาเข้าถึงเอกัคตารมณ์” สำรวมจิตลงสู่ความเป็นหนึ่ง นิ่งหยุดทรงสภาวะแห่งความนิ่งหยุด เอกัคตารมณ์นี้ สภาวะที่จิตรวมตัวนี้

เมื่อหยุดจนมีสภาวะที่ทรงตัวได้แล้ว เราก็เดินจิตต่อจากฌาน ๔ ในอานาปานสติเคลื่อนขึ้นสู่การทรงสมถะในกสิณ อันเป็นบาทฐานของอภิญญา จิตจากจุดที่หยุดขยายกลายเป็นวงกลม จากวงกลมขยายใหญ่ขึ้นกลายเป็นดวงแก้วสว่างใส เมื่อดวงแก้วสว่างใสปรากฏ กำหนดเชื่อม จิตคือกสิณ กสิณคือจิต จิตยิ่งใสมีความสุขก็เพราะดวงกสิณนั้นสว่างใส ยิ่งสว่างจิตยิ่งเป็นสุข ดวงกสิณยิ่งใส จิตยิ่งเป็นสุข ดวงกสิณยิ่งสว่าง จิตยิ่งเปี่ยมรัศมีของจิต จากดวงแก้วใสสว่าง อุคคหนิมิตเราเดินจิตต่อไปขึ้นสู่ปฏิภาคนิมิต กำหนดเห็นจิตเป็นเพชรประกายพรึก เป็นประกายระยิบระยับแพรวพราว ทรงอารมณ์ความสว่างของจิตที่เป็นเพชรระยิบระยับนั้น พร้อมกับรัศมีของจิตที่แผ่กระจายออกไป  ๓๖๐ องศา พ้นเลยออกไปมีสภาวะมีความพรั่งพรายลายรอบเป็นกากเพชรโปรยปรายระยิบระยับ

จากนั้นกำหนดจิตทรงสภาวะที่จิตเป็นเพชรระยิบระยับนี้ เปล่งประกายที่สุด เปี่ยมพลังที่สุด แผ่รัศมีความสว่างของจิตให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ทรงสภาวะไว้ จิตเป็นปฏิภาคนิมิต กสิณคือจิต จิตคือกสิณ ยิ่งเป็นสุข จิตยิ่งมีกำลังแห่งความเป็นทิพย์ จากนั้นกลั่นจิตขึ้นไปอีก สว่างแล้วสว่างอีก ใสขึ้นแล้วใสขึ้นไปอีก เป็นประกายระยิบระยับแล้วก็จงเป็นประกายระยิบระยับแพรวพราวยิ่งขึ้นไปอีก ความรู้สึกที่ภายในจิตนั้น เต็มไปด้วยจิตตานุภาพมีความรู้สึกเปี่ยมพลังจากภายในอย่างยิ่งยวด ยิ่งเพิ่มพูนขึ้นไปอีก ยิ้มทั้งภายใน จิตยิ้ม จิตยิ่งเปี่ยมความเป็นทิพย์ สว่างแล้วสว่างขึ้นอีก ระยิบระยับแล้วยิ่งแพรวพราวระยิบระยับขึ้นไปอีก ทรงอารมณ์เปล่งประกายที่จิตมีสภาวะเป็นปฏิภาคนิมิตนี้เต็มกำลัง ทรงสภาวะไว้ รัศมีของจิตยิ่งเปล่งประกายขึ้น สว่างขึ้น แพรวพราวขึ้น เมื่อจิตเปล่งประกายแล้ว เรากำหนดรู้ จิตที่สว่างที่สุด จิตที่เป็นสุขที่สุด จิตที่เปี่ยมพลังจากภายในมีความผ่องใสเบิกบานที่สุด มีสภาวะความเป็นทิพย์ ความเป็นทิพย์ก็อภิญญาจิต จิตมีพลังจากความรู้สึกอารมณ์แห่งความสุข ความอิ่มเอิบใจ ทรงสภาวะจดจำอารมณ์นี้เป็นอารมณ์จิต อารมณ์อภิญญา อารมณ์ความเป็นทิพย์ ทรงสภาวะที่จิตผ่องแผ้ว ผ่องใส เบิกบานถึงที่สุด ฝึกที่จิตจะเป็นเพชรประกายพฤกษ์เต็มกำลัง ทรงสภาวะให้ได้ ยกอารมณ์ใจเราดันอารมณ์จิตเราขึ้นมาให้ผ่องใสที่สุดให้ได้ แล้วเมื่อจิตของเราเปล่งประกายอย่างที่สุดเป็นสุขอย่างที่สุด

ยามที่เรายกกำลังจากฐานที่เราฝึกสมถะขึ้นไปเป็นกำลังของอภิญญา คือกำลังของกายทิพย์ กำลังของมโนยิทธิ หรือแม้แต่การที่เราทรงสภาวะส่งภาพพระในจิต จิตเราในยามที่เศร้าหมอง ภาพพระก็เศร้าหมอง กำลังมโนยิทธิที่ไปก็มีความติดขัด มีความฝืด มีความขุ่นมัวแต่ถ้าเมื่อไหร่กำลังของเราผ่องใสที่สุดสว่างที่สุดก็กลายเป็นฌาน ๔ เต็มกำลัง เวลาที่เราพุ่งจิตถอดจิตออกไปเราจะรู้สึกได้ว่า กายทิพย์พุ่งไปด้วยพลังงานด้วยความเร็ว ด้วยความสว่างที่มาก เป็นการถอด เป็นการยกไปเหมือนกับการชักหญ้าปล้องจากกายเนื้อคือ กายทิพย์มันพุ่งหลุดออกจากกายที่เป็นกายหยาบขันธ์ ๕ ดังนั้นเมื่อไหร่ก็ตาม ถ้าเราจะฝึกให้การฝึกมโนมยิทธิของเรานั้นจากครึ่งกำลังเป็นเต็มกำลัง เราก็ต้องทำจิตของเราให้ผ่องใสที่สุดกำลังให้ได้ซะก่อน ตอนขึ้นทรงอารมณ์จิตให้เป็นเพชรประกายพรึกครั้งแรกอาจจะยังไม่สว่างมาก แต่เทคนิคเคล็ดลับในการฝึกก็คือการกลั่นคือทรงอารมณ์ทำความรู้สึกปรับอารมณ์ของเราใช้แล้วใสขึ้นไปได้อีกสว่างแล้วให้สว่างขึ้นไปอีก ระยิบระยับแล้วให้รีบขยับขึ้นไปอีก เป็นสุขผ่องใสแล้วให้เป็นสุขผ่องใสยิ่งขึ้นไปอีก

เมื่อเราทรงอารมณ์จนกระทั่งกลายเป็นกับเต็มกำลัง ยามที่เรายกจิตขึ้น ทรงภาพพระตอนนี้ก็ให้เราอาราธนาบารมี ขอบารมีพระพุทธองค์ทรงสงเคราะห์กำลังพุทธานุภาพจงมาปรากฏเป็นหนึ่งเดียวกับพุทธนิมิตในจิตข้าพเจ้า อธิษฐานให้พระองค์พระสว่างพฤกษ์ ปรากฏองค์พระมีความสว่างแพรวพราวระยิบระยับ จิตปราศจากความลังเลสงสัย ว่ากำลังของพุทธานุภาพของพระพุทธองค์มาสถิตอยู่ในพุทธนิมิตในจิตของเราขณะนี้ ประดุจพระพุทธองค์ทรงเสด็จมาด้วยพระองค์เองในยามที่ทรงมีพระชนม์ชีพอยู่ กำหนดน้อมให้องค์พระสว่างแพรวพราวฉัพพรรณรังสีแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสว่างระยิบระยับอย่างยิ่ง ภาพองค์พระที่เราทรงอารมณ์อยู่ขณะนี้มีความสว่าง มีความพร่างพราย มีความระยิบระยับ มีความใสอย่างยิ่ง จิตเราเมื่อทรงอารมณ์ในพุทธานุสติส่งภาพพระขณะนี้ จิตเราก็มีความแช่มชื่นเบิกบานมีความอบอุ่นใจมีความมั่นคงในจิตใจ พระพุทธองค์ทรงเป็นเหมือนหลักชัยในจิตของเรา ทรงสภาวะที่องค์พระปรากฏในจิตของเรานี้ มีความสว่างเต็มกำลัง เมื่อทรงภาพพระให้ราบรื่น ตั้งมั่น มีความเสถียร เพื่อเป็นการฝึกคนให้เกิดวสีในการทรงอารมณ์ เมื่อทรงอารมณ์จนมีความมั่นคงแล้ว

ตรงจุดนี้ก็เป็นข้อแนวคิดในการฝึกในการปฏิบัติอันนี้อ้างอิงกับหลักของจิตวิทยา หากเราสามารถจดจ่อเป็นหนึ่งเดียวอยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งก็คือภาพกสิณก็ดี สิ่งที่เราจดจ่อในจินตนาการต่างๆก็ดี ได้ยาวนานต่อเนื่องโดยไม่ขาดไปเป็นเวลาอย่างน้อย 21 วินาทีสิ่งนั้นจะเกิดผลสิ่งนั้นจะเกิดพลังของความสำเร็จขึ้น ดังนั้นทุกครั้งเราพยายามที่จะทรงอารมณ์ในอารมณ์กรรมฐาน จะเป็นเอกัคคตารมณ์ก็ดี หยุดจิต นิ่งหยุด หรือการทรงภาพสภาวะที่จิตเราเข้าถึงปฏิภาคนิมิตมีความผ่องใสแต่งกำลังก็ดี ยาวนานอึดใจหนึ่งให้ยาวประมาณ 21 วินาทีหรือครึ่ง 30 วินาทีคือครึ่งนาทีให้ได้ เมื่อไหร่ที่เราทำซ้ำแบบนี้ได้ทุกครั้ง สิ่งนั้นจะจารึกผนึกลงไปในจิตเรา ทำให้เกิดความคล่องตัว ทำให้เราสามารถจดจำอารมณ์กรรมฐาน อารมณ์ที่เราฝึกทำทุกครั้งได้ทุกครั้ง เรียกว่ากำลังแห่งพระกรรมฐานที่เราฝึกมันไม่ตกลง อันนี้ก็มาจากประสบการณ์จริงของการปฏิบัติจริงแล้วก็เห็นผลจริง ตอนนี้ก็ให้เราทรงอารมณ์ให้ภาพขององค์พระที่สว่างเต็มกำลังนั้นปรากฏขึ้น จำไว้ว่าถ้าจิตเรายังไม่ผ่องใสคือจิตมีความเศร้าหมอง จิตยังไม่มีกำลัง การทรงภาพพระก็มีความเศร้าหมอง มีมลทิน มีความมัว มีความเป็นขาวดำ ไม่มีความแพรวพราว เวลาที่ยกเป็นกำลังของมโนมยิทธิขึ้นไปภาพก็ไม่ชัดเจนมีความไม่ถูกต้อง

แต่หากจะให้การทรงภาพพระนั้นมีความชัดเจนมีความแจ่มใส มีความถูกต้อง จิตเราต้องผ่องใสเต็มกำลังให้ได้ซะก่อน สว่างที่สุดให้ได้ซะก่อน เป็นสุขที่สุดให้ได้ซะก่อน ผ่องใสสว่างระยิบระยับเป็นสุขนั่นก็คือความเป็นทิพย์ของจิตและเมื่อไหร่อารมณ์จิตสภาวะเราเข้าถึงสิ่งนี้ นิวรณ์ ๕ ประการก็ดี ความเศร้าหมองก็ดี ความหนักก็ดี มันก็จะไม่มีในจิตเราขณะนั้น ดังนั้นจิตเราก็สะอาดจากกิเลส สังเกตดูได้เลยว่าในยามที่จิตเราเป็นเพชรประกายพรึกที่สุดสว่างที่สุด ลมหายใจเราก็จะนิ่งหยุด พลอยหยุดสงบตามไปด้วย จิตใจจดจ่อกับความเป็นประกายพฤกษ์นั้น

เมื่อเรากำหนดรู้แล้วเรารู้ประโยชน์ของการฝึกรู้เคล็ดลับในการปฏิบัติเราก็ควรที่จะฝึกทักษะนี้การปฏิบัตินี้ให้ทุกครั้งที่เราจะใช้กำลังของการทรงมโนมยิทธิก็ดี การทรงภาพพระก็ดี จะเป็นภาพพระสามฐาน คือบนศีรษะ ในศรีษะ หรือในอกของเราก็ดี เรากำหนดให้เป็นเพชรประกายพฤกษ์แพรวพราวสว่างกำลังไว้เสมอ ขึ้นไป ยกจิตขึ้นไปบนพระนิพพานก็เต็มกำลังเสมอ อันนี้ก็ไม่จำเป็นที่ต้องมีพิธีรีตองอะไรมากมาย ฝึกเพื่อที่เราจะสามารถยกจิตขึ้นพระนิพพานได้รวดเร็วเพียงแค่ลัดนิ้วมือเดียว

เมื่อเรากำหนดรู้ครบถ้วนกระบวนความแล้ว ลำดับต่อไปก็น้อมจิตขอบารมีพุทธานุภาพขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่สุด พุ่งจิตของเราขึ้นไปชักหญ้าปล้อง กายทิพย์พุ่งออกไปจากกายเนื้อเหมือนจรวดขึ้นไปปรากฏอยู่บนพระนิพพาน ปรากฏเป็นการพระวิสุทธิเทพอยู่ท่ามกลางมหาสมาคมบนพระนิพพาน คือมีพระพุทธเจ้าสมเด็จองค์ปฐมทรงเป็นประธาน พระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระอรหันต์ทุกๆพระองค์ เสด็จประทับอยู่เบื้องหน้า กายพระวิสุทธิเทพของเรา นั่งคุกเข่าประนมมือ ด้วยความนอบน้อมด้วยความเคารพ กำหนดรู้ด้วยความเป็นกายพระวิสุทธิเทพ อารมณ์จิตตรงนี้มีความสำคัญ เราต้องรู้สึกได้ว่า กายพระวิสุทธิเทพเราอยู่เบื้องหน้าทุกท่านทุกๆพระองค์บนพระนิพพาน ไม่ใช่ไปเห็นสภาวะว่ามีกายทิพย์

กายพระวิสุทธิเทพนั่งอยู่เบื้องหน้า เห็นว่ามีกายทิพย์กายพระสุเทพนั่งอยู่เบื้องหน้าบนพระนิพพาน เบื้องหน้าพระบนพระนิพพาน กับรู้สึกว่าเราเป็นกายพระวิสุทธิเทพนั่งอยู่เบื้องหน้าพระบนพระนิพพานต่างกัน ต่างกันอย่างไร ต่างกันก็คือ ถ้ารู้สึกว่าเราเห็นภาพแปลว่าเป็นทิพจักขุญาณ แต่ถ้าเรารู้สึกว่ากายของเราอยู่ในสภาวะของกายทิพย์ กายพระวิสุทธิเทพอยู่บนพระนิพพานหน้าพระคือการยกกายทิพย์ถอดกายทิพย์อันนี้ถือว่าเป็นอภิญญา เป็นกำลังมโนมยิทธิบางครั้งมันแตกต่างกันแค่เล็กน้อยนิดเดียวเท่านั้น

แต่ความสำคัญถ้าเราจะทำความรู้สึกกำลังใจในความเป็นกายทิพย์ ถอดกายทิพย์ ใช้งานของกายทิพย์คือกายพระวิสุทธิเทพ ไปในภพภูมิต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเราไปกราบพระบนพระนิพพานไปฝึกไปเจริญพระกรรมฐานบนพระนิพพาน อันนี้คือเป้าหมาย คราวนี้ข้อแตกต่างปลีกย่อยเล็กน้อยที่แตกต่างกันไปอีกในเรื่องของมโนมยิทธิ ถ้าเราเอากำลังของมโนยิทธิไปเที่ยวในภพนั้นภพนี้ ไปเที่ยวดาวดวงอื่น ไปเที่ยวพบพญานาค ไปเที่ยวสวรรค์ ไปเที่ยวนรก ไปเที่ยวตต่างประเทศ ต่างเมือง ต่างสถานที่ ต่างมิติ ไปเที่ยวด้วยความเพลิดเพลินอันนี้ก็เป็นโลกียอภิญญา แต่ถ้าเมื่อไหร่เราใช้กำลังของมโนมยิทธิคือกายทิพย์ไปดู ไปรู้ ไปดูความไม่เที่ยงในภพต่างๆ ไปดูกรรมและผลของกรรมของผู้ที่ทำผิดทำบาป เสวยโทษอยู่ในนรก ไปดูอดีตเพื่อให้เห็นว่ามันมีความไม่เที่ยง มีความทุกข์ หรือใช้กำลังมโนมยิทธิยกจิตขึ้นไปบนพระนิพพานเพื่อเจริญพระกรรมฐานเพื่อฟังธรรมจากครูบาอาจารย์ จากพระพุทธองค์ เมื่อไหร่ใช้กำลังมโนมยิทธิไปเช่นนี้ก็จะกลายเป็นโลกุตระอภิญญา เมื่อไหร่ที่เราใช้ไปในทางที่เป็นโลกุตระอภิญญา อภิญญานี้ก็จะไม่เสื่อมลง แล้วก็จะไม่มีทางที่จะเฝือหรือโอกาสที่จะผิดพลาดก็จะน้อยมาก ต่ำมากเพราะเราทำด้วยการตัดสละ ละวางกิเลสจากใจของเรา ไม่ได้ทำไปเพื่อความเพลิดเพลินความหลงในภพภูมิต่างๆ ข้อผิดพลาดของผู้ที่ฝึก ผู้ที่ปฏิบัติได้มโนมยิทธิที่ก็คือบางครั้งไปดูอดีตชาติก็ดี ไปดูแล้วกลายเป็นว่าแทนที่จะรู้แล้วละ กลายเป็นรู้แล้วยึดติดไป ดูแล้วรู้ว่าคนนั้นคนนี้เคยคู่กับเรา ก็จะไปหวัง ไปยึดให้มันเหมือนเดิม ไปดูให้ดีๆ หลายคนหลายหลายคนหลายชาติหลายภพเราเคยคู่ เดี๋ยวนี้ก็ไม่ได้คู่เขาก็ไปแต่งงานกับคนอื่นเขาก็ไปอยู่คนอื่นเขาก็ไปมีสามีมีภรรยามีลูกของเขา มันแปลว่าทุกสิ่งทุกอย่างมันไม่เที่ยง ถ้าเราไปยึดมั่นถือมั่น มันก็ทุกข์

ดังนั้นการไปรู้ในญาณทั้ง ๘ เป็นไปเพื่อละ ไม่ใช่เพื่อยึด เมื่อไหร่ไปรู้แล้วยึดนั่นก็คืออวิชชา เมื่อไหร่ไปรู้เราละก็เป็นวิชชา

จำไว้นะตรงนี้สำคัญ อย่างยถากัมมุตาญาณ เราก็รู้ว่าถ้าเราทำกรรมแบบนี้เราจะไปเสวยผลกรรมอะไร ถ้าเราทำเหตุแบบนี้เราจะได้รับผลอย่างไร ถ้าเราทำบุญแบบนี้จะไปเสวยภพ เสวยบุญในภพแห่งใด อันนี้เรารู้เพื่อให้ เข้าใจในเรื่องกรรมและกฎของกรรม บุพเพนิวาสานุสติญาณ อันนี้ก็เป็นญาณที่ทำให้เรารู้ รู้อะไร รู้ว่าแต่เดิมเหตุที่เราเกิดผลในชาติปัจจุบันมีเหตุสืบเนื่องมาจากอดีตชาติของเราในอดีตกาล ชาตินี้เราเจอแบบนี้เพราะอดีตชาติเลยทำมาแบบนี้ มันก็เลยรับผลแบบนี้ หรือในปัจจุบันในชาติเรามีจิตใจใฝ่ในบุญกุศล เราย้อนกลับไปดูอดีต ก็คือบุพเพนิวาสานุสติญาณเราก็จะรู้ว่าเพราะเราเคยฝึกเคยปฏิบัติเคยเจริญพระกรรมฐานมาในกาลก่อน เคยเจอครูบาอาจารย์ที่เคยเป็นพระอริยเจ้าพระอริยสงฆ์สอนกรรมฐานเรามาก่อน เราก็มาสืบต่อกรรมฐานเดิมที่เราเคยทำมาต่อยอดการปฏิบัติที่เราเคยทำ ดังนั้นอันที่จริงญาณทั้ง ๘ เป็นไปเพื่อให้เราใช้เป็นเครื่องมือในการพิจารณาเพื่อละวาง เพื่อตัดกิเลส เพื่อให้จิตเราคลายจากความอาฆาต เพื่อให้เราสิ้นสงสัยในกรรม ไม่เช่นนั้นคนที่เขาไม่รู้ในเรื่องญาณทั้งหลายก็จะกลายเป็นพูดหรือมีความรู้สึกในใจว่า ชาตินี้เราก็ไม่ได้ทำผิดทำบาป ไม่ได้ทำเวรกรรมอะไร แต่ทำไมชาตินี้เราถึงพบแบบนี้ เจอแบบนี้ ถ้าเรามีความคล่องตัวอย่างยิ่งย้อนไปดู เราก็จะเจอเหตุว่า อ๋อชาตินี้เราไม่ได้ทำก็จริง แต่อดีตชาติเราเคยทำแบบนี้กับบุคคลคนนี้

พอเรารู้ปุ๊บเราก็เลิกตีโพยตีพายอันนี้คือข้อที่ ๑ ก็คือยอมรับกฎของกรรมได้ปล่อยวางได้ ขณะเดียวกันเราก็พิจารณาต่อว่า อันนี้เพราะเราไปทำคนอื่นมาเราก็ชิงขอขมากรรมขอกราบเอาสิกรรมให้วิบากอกุศลมันเบาลงมันคลายตัวหรือสิ้นลงไปเป็นโมฆะกรรมจากการอโหสิกรรมต่อกัน

ดังนั้นการที่เรารู้ เรารู้เราใช้ถูกไหม รู้แล้วทำให้ชีวิตเรามันเบาจากวิบากลงไหม จิตมันคลายจากความหนัก ความทุกข์ที่เราแบก เพราะเรายอมรับตามความเป็นจริงและปล่อยวางได้ไหม ตรงนี้แหละคือสิ่งสำคัญที่เป็นหัวใจของคนที่ฝึกมโนมยิทธิ ฝึกอภิญญาควรที่จะต้องนำไปใช้ในทางที่ถูกต้อง ตอนนี้ก็ให้เราทำความรู้สึกว่ากายพระวิสุทธิเทพเราปรากฏอยู่บนพระนิพพานสว่างอย่างยิ่ง เราพิจารณาเราพิจารณาธรรมอยู่บนพระนิพพานเจริญวิปัสสนาญาณเจริญวิปัสสนาญาณอยู่บนพระนิพพาน ฟังธรรมพิจารณาการใช้ญาณ ๘ เราก็พิจารณาอยู่บนพระนิพพานคราวนี้ต่อไปเราก็ลองไล่ดูในญาณอื่น อตีตังสญาณก็ดีอันนี้หมายถึงภาพเหตุการณ์เก่าในอดีต ภาพเหตุการณ์ในอดีตเวลาไปใช้ เราสามารถประยุกต์ใช้ได้ เช่นเราอ่านหนังสือเป็นประวัติของครูบาอาจารย์ที่ท่านเล่าประสบการณ์ในการปฏิบัติธรรมของท่านเวลาที่เราอ่านตามเราก็ใช้กำลังมโนมยิทธิไปดูอดีตภาพเหตุการณ์ในขณะนั้น หรือทำความรู้สึกว่าเราเข้าไปอยู่ในเหตุการณ์นั้น ดูอยู่ เป็นผู้ดูอยู่แต่อยู่ในเหตุการณ์รู้สึกสัมผัสได้ในทุกสิ่ง อันนี้ก็จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง และสิ่งที่เป็นประโยชน์ยิ่งกว่าก็คือการควบญาณ การควบญาณก็เหมือนกับการที่เราควบกองกรรมฐานควบญานเป็นยังไง

อันนี้ตัวอาจารย์เองก็ใช้บ่อยเวลาที่อ่านหนังสือประวัติครูบาอาจารย์พระกรรมฐานทั้งหลายโดยเฉพาะอย่างยิ่งทรายหลวงปู่มั่นก็ดี หรือประวัติของหลวงพ่อ ประวัติของฉันบ้าง หรือหนังสือประวัติหลวงปู่ปานบ้าง หลวงพ่อธุดงค์บ้าง อันนี้สายหลวงพ่อ เราควบคือใช้อดีตตังสญาณกับเจโตปริยญาณ คือเข้าไปรู้สึกสัมผัสเหมือนกับพระอนุรุธเข้าไปดูอารมณ์จิตในขณะที่ท่านพิจารณาธรรม ในขณะที่ท่านเจริญวิปัสสนาญาณโดยเฉพาะอย่างยิ่งหัวใจสำคัญ คือช่วงที่ท่านอธิบายอารมณ์จิตก่อนที่ท่านจะบรรลุธรรม อารมณ์จิตนั้น ถ้าเราแนบคือตามรู้ ตามดูจิต ประดุจว่าเราพิจารณาด้วยตัวเราเองได้ เหตุการณ์ เห็นเหตุการณ์ทุกอย่างเข้าถึงเหตุการณ์ อินกับเหตุการณ์ทุกอย่าง เข้าถึงอารมณ์จิตที่ท่านพิจารณาที่ท่านว่างได้อย่างลึกซึ้งมากเท่าไหร่ ถ้าเราใช้ควบแบบนี้คือเจโตปริยญาณควบกับอดีตตังสญาณ อารมณ์จิตในขณะที่เราอ่าน อารมณ์จิตในขณะที่เราพิจารณาตัด จะมีกำลังในการตัดกิเลสในจิตเราไปด้วยอย่างมากอย่างยิ่งยวดมากกว่าการที่เราไม่เข้าถึงสภาวะของการได้ญาณทั้งหลายเหล่านี้ อันนี้ไม่ใช่เฉพาะการอ่านแม้แต่การที่เราฟังไฟล์เสียงที่ท่านเทศน์ก็ดี เราใช้ตามดู ตามรู้สึกไปด้วย กำลังในการที่เราตัดกิเลสก็จะสูงขึ้นมากกว่าปกติอย่างยิ่งอันนี้ก็ถือว่าเป็นเคล็ดลับที่การใช้ญาณต่างๆ คราวนี้ส่วนต่อมาปัจจุปปันนังสญาณ ก็คือการที่เราใช้ญาณไปรู้ว่า ขณะนี้เป็นอย่างไรบ้างเหตุการณ์ต่างๆในต่างสถานที่เป็นอย่างไรบ้าง

ส่วนอนาคตังสญาณเวลาที่เราดูจริงๆเวลาที่ดูอนาคตคนทั่วไปก็จะดู 10 ปี 20 ปี ดูเหตุการณ์ข้างหน้า บางคนดูได้ไกล บางคนดูได้ใกล้ บางคนดูได้ไม่นาน แต่จริงๆ ถ้าขอบเขตกำลังของญานเครื่องรู้เรามีสูง สิ่งที่เราจะต้องดู ดูและรู้มักจะเป็นสิ่งที่เชื่อมโยงกับเรา สิ่งที่เชื่อมโยงกับเราก็คือเราดู ตัวเราเองนั่นแหละ ในอนาคตดูว่า ถ้าเราไม่มาปฏิบัติธรรม ไม่ไปพระนิพพาน เราดูชาติภพเราเองว่าชาติภพมันจะอีกไกลไหมมันมีที่สิ้นสุดไหม มันมีที่จบไหม เราจะต้องไปตกระกำลำบากในอนาคตไปเกิดเป็นสิ่งใดบ้าง เอาอนาคตังสญาณไปควบจุตูปปาตญาณ ก็คือกรรมที่มันพาไปให้เกิดผลเพราะเราไปดูแบบนั้นแล้ว จิตมันก็จะเกิดมีความสะดุ้งกลัวว่าเราจะต้องเหนื่อยอีกมาก เรายังต้องทุกข์อีกมาก เรายังต้องเวียนว่ายตายเกิดอีกยาวนานมาก พอเราเห็นแล้วจิตเรามันก็จะเกิดนิพพิทาญาณเองว่าเราจะไปพระนิพพานดีกว่าไหม เราจะยังเกิดอีกหรือเรายังเพลิดเพลินอยู่กับโลกอยู่กับสังสารวัฏอยู่กับภพภูมิต่างๆอีกไหม อันนี้เราก็ไปดูอนาคตังสญาณของเราเอง ดังนั้นญาณต่างๆมันไม่ใช่เป็นญาณเครื่องรู้ที่เราเอามาพอกกิเลส มานะ ว่าเรารู้เราเก่งหรือเราไปใช้เพื่อเป็นประโยชน์ไปใช้หลอกลวงคนอื่นก็ดีไปใช้ทำให้คนอื่นเคารพนับถือก็ดี ไอ้สิ่งนี้ทำไปมากเท่าไหร่มันจะเริ่มเฝือ เริ่มผิดกลายเป็นเสื่อมไป

แต่ถ้าเมื่อไหร่เราดู เรารู้ รู้เพื่อละ ใช้ญาณเครื่องรู้เพื่อละ ละไปเรื่อยๆ ชาติภพมันเบาลง ยอมรับกฎของกรรมมากขึ้น รู้เหตุรู้ผลว่าทำไมเราเป็นแบบนี้ ทำไมชาตินี้เราต้องรับผลแบบนี้ บุญที่เราได้รับในชาติปัจจุบันนี้เพราะเหตุแห่งกุศลที่เราเคยทำมาแบบนี้ ความชัดเจนในเรื่องกรรมและกฎของกรรมก็จะชัดเจนมากขึ้น ถ้าเราดูจนคล่องตัวที่สุด จิตมันจะยอมรับเลยว่าทุกสิ่งทุกอย่างของมนุษย์ทุกคนของจิตทุกดวง สรรพสัตว์ทั้งหลายล้วนแล้วเกิดจากกรรมทั้งสิ้น ถ้าญาณมีความคล่องตัวเราจะสาวไปเจอเหตุได้ทุกครั้ง หรือแม้แต่เหตุในปัจจุบันกรรมที่ทำในปัจจุบันก็สาวไปหาผลได้ทุกครั้งด้วยเช่นกัน ถ้าละเอียดในอนาคตังสญาณละเอียดในเรื่องกรรม ญาณที่เกี่ยวเนื่องกับกรรม มันไม่ใช่ว่ากรรมที่เราทำตรงนี้เกิดผลในอนาคตเพียงแค่ครั้งเดียวหมด มันมีเกิด effect คือเกิดซ้ำแล้วซ้ำอีกซ้ำแล้วซ้ำอีกต่อเนื่องแล้วต่อเนื่องอีก

ดังนั้นความน่ากลัวของกรรมก็มีด้วยประการฉะนี้ เราลองยกตัวอย่างง่ายๆว่ามีจิตดวงหนึ่งมีความเศร้าหมอง มีความทุกข์มีความน้อยเนื้อต่ำใจอย่างนี้ อารมณ์มีความเศร้าหมองอย่างยิ่งยวด อารมณ์เศร้าหมองอย่างยิ่งยวดมันก็ตรงกันข้ามกับอารมณ์ผ่องใส เพราะเศร้าหมองถึงที่สุดฆ่าตัวตายเพราะฆ่าตัวตายไปแล้วกรรมและผลกรรมก็ทำให้ต้องฆ่าตัวตายซ้ำไปอีก 500 ชาติ จำไว้ว่าคำว่า 500 ชาตินั้นมันไม่ได้หมายความว่า 500ชาติ ตามนั้นไปเป๊ะ เป็นคำอุปมาเปรียบเทียบต้องเกิดซ้ำแล้วซ้ำอีกเป็นจำนวนมาก นั่นก็คือเมื่อจิตมันยังจำอารมณ์นี้อยู่มันบันทึกอยู่จิตสุดท้ายก่อนตายมันจำอารมณ์ที่ฆ่าตัวตาย พอเกิดชาติใหม่อารมณ์มันหวนคืนกลับ มันจำอารมณ์ก็คือกรรมมันบันทึกลงไปในจิต พอชาติต่อมาก็ฆ่าตัวเองไปอีกทำซ้ำไปอีก ฆ่าตัวเองไปอีกอารมณ์จิตมันก็ย้ำไปไม้ที่ 2 เพราะซ้ำอีกไม้ที่ 3 ไม้ที่ 4 จนกระทั่งวิบากกรรมมันคลายตัว เริ่มไปสร้างกุศล เริ่มไปปล่อยสัตว์ เริ่มไปให้ชีวิต ให้ทาน พอกรรมมันคลายตัวความเศร้าหมองมนุษย์ลงวิบากกรรมที่ทำให้ฆ่าตัวตาย มันก็เริ่มหมด เริ่มสิ้นไป หรือการเจริญพระกรรมฐานถอดถอนความเศร้าหมองจากจิตสู่ความผ่องใสเข้าใจกรรมและกฎของกรรมก็นำพาจิตให้พ้นจากอารมณ์จิตหรือวิบากกรรมที่ทำให้ฆ่าตัวตาย ซ้ำชาติแล้ว ซ้ำชาติเล่า ดังนั้นสิ่งต่างๆเหล่านี้ถ้าเราเข้าใจอย่างกระจ่างแจ้งญาณทั้งหลาย ความเป็นทิพย์ทั้งหลาย มันก็เกิดปัญญามันก็แก้ไขมันก็รู้ดีกว่าไม่รู้แต่สิ่งสำคัญคือ รู้เพื่อละ รู้เพื่อปล่อยวาง รู้เพื่อการดับคือดับวิบาก ดับวัฏฏะของความอาฆาตแค้น ดับวัฏฏะของการทำกรรมซ้ำ ทำอกุศลซ้ำ เมื่อตัดวัฏฏะได้ กรรมนั้นมันก็หยุดลง เบาลง สั้นลง คลายลง

เมื่อเราเข้าใจตรงนี้แล้วเราก็กำหนดทรงอารมณ์อยู่บนพระนิพพานด้วยความผ่องใส พิจารณาในจิตของเรา อธิษฐานตรงต่อสมเด็จองค์ปฐม พระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระปัจเจกพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ พระอรหันต์ทุกๆพระองค์ อธิษฐานโดยทรงอารมณ์ให้ตอนนี้กายพระวิสุทธิเทพของเราแต่ละบุคคลสว่างที่สุดผ่องใสที่สุด เป็นสุขที่สุด อารมณ์จิตแนบอยู่กับพระนิพพานมากที่สุด เมื่อกายพระวิสุทธิเทพสว่างสะอาดจากกิเลสที่สุดแล้วผ่องใสที่สุดแล้ว เราก็อธิษฐานว่าขอให้กําลังอภิญญาของข้าพเจ้านี้ทรงเป็นสัมมาอภิญญา ขอกำลังอภิญญาของข้าพเจ้านี้จงเป็นโลกุตระอภิญญา ขอกำลังอภิญญาของข้าพเจ้านี้ จงเป็นอภิญญาใหญ่เต็มกำลังขอญาณเครื่องรู้ของข้าพเจ้าในญาณทั้ง ๘ จงเป็นไปเพื่อความบริสุทธิ์วิมุตหมดจด ญาณเครื่องรู้ของข้าพเจ้านี้จงเป็นไปเป็นเครื่องมือเพื่อรู้แล้วละ รู้แล้วดับ รู้แล้วตัดปล่อยวาง ขอญาณเครื่องรู้ทั้งหลายของข้าพเจ้านี้ นำพาจิตขึ้นสู่โลกุตระอภิญญาจิต นำพาจิตเข้าสู่มรรคผลนิพพาน มีปัญญาเห็นยอมรับตามความเป็นจริงทุกอย่างทุกประการตามกฎพระไตรลักษณ์ด้วยเทอญ

ขอพระพุทธองค์เมตตาประทานดวงแก้วแห่งญาณเครื่องรู้ทั้งหลายเป็นดวงแก้วเพชรสว่างแพรวพราวลอยเลื่อน เคลื่อนคล้อย จากพระหัตถ์ของพระพุทธองค์สมเด็จองค์ปฐม ลอยลงสู่ยอดมงกุฎของกายพระวิสุทธิเทพของข้าพเจ้า เคลื่อนลงสู่กลางจิตของกายพระวิสุทธิเทพของ ข้าพเจ้า ณ บัดนี้ด้วยเทอญ กำหนดน้อมนะ ได้รับไหม พอได้รับแล้วก็กำหนดจิตจี้ลงไปที่ดวงแก้วที่เป็นญาณเครื่องรู้เป็นวิมุตติญาณทัศนะของเราและกำหนดว่าอธิษฐานขอสิ่งที่ได้รับพระราชทานมาจากสมเด็จองค์ปฐมเป็นญาณวิมุตติทัศนะเป็นดวงแก้วอันมีความเป็นทิพย์แห่งเครื่องรู้เป็นไปเพื่อความวิมุติ มองไปอธิษฐานเห็นอดีตชาติ กำหนดรู้ภาพกรรมที่เคยสงสัย ขัดข้อง สิ่งที่เราเคยนึกติดขัดว่าทำไมเป็นเช่นนี้ ทำไมถึงมีอุบัติเหตุเกิดกับเราบ่อย ทำไมเราถึงป่วยบ่อย ทำไมเราถึงถูกกลั่นแกล้ง ทำไมเราถึงมีข้อติดขัดในการปฏิบัติ ขอให้เห็นภาพในจิตในดวงแก้ววิมุตติญาณทัสสนะ สิ่งใดที่รู้แล้วก็รู้แล้วละ รู้แล้วขมากรรม รู้แล้วอโหสิกรรม รู้แล้วละวาง จำไว้กรรมหลายสิ่งๆ เมื่อไหร่ที่เราได้รู้เหตุ ละวางกรรมนั้นก็กลายเป็นกรรมที่หมดกำลัง ดับลง คลายลง เพราะเป็นกรรมที่ปรากฏรู้แล้ว ละแล้ว ผ่านแล้ว

ดังนั้นการที่เรารู้นั้นก็มีผลอย่างยิ่งที่ทำให้ชีวิตเราสามารถดีขึ้น แต่คนที่ไปรู้แล้วยิ่งโกรธ ยิ่งผูกเวร ก็กลายเป็นสร้างวิบาก สร้างปม สร้างกรรมใหม่ ทำให้ชีวิตมันยิ่งปั่นป่วนวุ่นวาย จำไว้ว่าเราจะไปพระนิพพานยิ่งวางมากเท่าไหร่ สัมภาระที่เราแบกคือ ภาระของจิต ความห่วงก็ดี ความอาฆาตพยาบาทก็ดี ความรักความหลงความยึดทั้งหลายก็ดี มันเหมือนกับก้อนหินที่ถ่วงจิตเรา รั้งเราไว้ไม่ให้ไปพระนิพพาน มันอีรุงตุงนังไปหมดแต่ยิ่งวางได้มาก วางได้บ่อย วางได้คล่อง วางได้ง่าย เราก็ไปพระนิพพานง่ายเท่านั้น คนที่ทุกข์น้อยก็คือคนที่ปล่อยวางง่าย คนที่ทุกข์มากก็คือคนที่ยึดมั่นถือมั่นมาก ยิ่งเยอะ ยิ่งเรื่องมาก ยิ่งท่าเยอะก็ยิ่งทุกข์ใจ ยิ่งเรียบง่าย สงบ สมถะ ปล่อยวาง อภัยง่าย ใจก็เป็นสุข กำหนดจิตของเราขณะนี้ ขอญาณวิมุตติทัศนะที่เราได้รับมาในชีวิตขอจงใช้ไปในทางที่เป็นสัมมาทิฏฐิ รู้แล้วละ รู้แล้ววาง รู้แล้ววิบากคลายตัวลง เพื่อในระหว่างที่เรายังมีชีวิตในชาติปัจจุบันนี้จะได้อยู่บนโลกที่มีความทุกข์ โดยที่จิตเราไม่ทุกข์ ไม่เร่าร้อน ไม่หนัก ในเหตุการณ์เท่ากันเรื่องเดียวกัน คนที่ปล่อยวางได้ คนที่มีธรรมะในจิต คนที่มีญาณเครื่องรู้ความเข้าใจในกฎพระไตรลักษณ์คือจิตรู้อยู่ตลอดเวลาว่าทุกสิ่งเกิดขึ้น ตั้งอยู่ดับไป ไม่ยึดเราก็จะไม่ทุกข์ บางคนลูกเสียชีวิตเหตุการณ์เดียวกันบางคนร้องไห้ทุกแทบจะขาดใจตาย กลับบางคนมองเห็นเป็นธรรมดาปล่อยวางได้ก็ไม่ทุกข์เท่าไหร่ มีความถวิลหาบ้าง คิดถึงบ้าง แต่ก็ไม่ได้ทุกข์ ดังนั้นความทุกข์ทั้งหลายเกิดขึ้นอยู่กับจิตของบุคคลนั้น ว่ายึดแค่ไหน ปล่อยวางได้แค่ไหน เห็นอนิจจลักษณะได้แค่ไหน เห็นความเป็นธรรมดาของสังขารร่างกาย เห็นธรรมดาของสมมติได้มากแค่ไหน

เรากำหนดรู้เพื่อให้จิตเราปล่อยวางได้ง่ายขึ้น เราปฏิบัติธรรมเพื่อให้จิตเราคลายลงจากความยึดมั่นถือมั่นทั้งปวง เมื่อพิจารณาแล้ว เราก็น้อมพิจารณาเป็นปัจจัตตังเฉพาะตน สิ่งที่รักที่สุด สิ่งที่ห่วงที่สุด สิ่งที่หวงที่สุด พิจารณาว่าละวางได้ไหม ตอนนี้เราอยู่กับพระพุทธองค์บนพระนิพพาน เราอยู่ในสภาวะแห่งการเป็นกายพระวิสุทธิเทพ เราปล่อยวางได้ไหม ตอนนี้ให้เราทุกคนพิจารณาของเราเองนะ ให้ภาพสิ่งที่เราห่วงที่สุดห่วงที่สุด คนที่เรารักที่สุดปรากฏ แล้วพิจารณาวาง อันนี้ก็คือวิปัสสนาญาณ วางจนรู้สึกว่าไม่มีอะไรที่เราต้องห่วง เราสามารถเข้าพระนิพพานได้โดยปราศจากความอาลัยทั้งปวง

จากนั้นอธิษฐานนะ เห็นกายทิพย์กาพระวิสุทธิเทพเราสว่างที่สุด อธิษฐานว่าข้าพเจ้าขอตั้งจิตมั่นคงในพระนิพพาน ตายเมื่อไหร่ขอเข้าถึงซึ่งพระนิพพาน จิตแนบในพระนิพพาน มั่นคงในพระนิพพานมีความรักในพระนิพพาน มีธรรมฉันทะอยู่กับพระนิพพานจิตตั้งมั่นในพระนิพพานเป็นคติที่ไปเพียงจุดเดียว เมื่อทรงอารมณ์จนกระทั่งกายทิพย์เราสว่างเต็มที่เต็มกำลังแล้ว จิตของเรามีความสุขภาวนาบริกรรม

“นิพพานังปรมังสุขัง” พระนิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง”

กายพระวิสุทธิเทพยิ่งสว่างขึ้นใสขึ้น อารมณ์จิต เอิบอิ่ม ชื่นบานอย่างยิ่ง ปราศจากห่วงปราศจากความอาลัยทั้งหลาย จิตพ้นจากกระแสแห่งกรรมวิบากที่จะติดตาม จิตพ้นจากกระแสแรงดึงดูดของภพต่างๆ ภูมิต่างๆ แรงดึงดูดที่ดึงให้จิตนี้ไปเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏ ชาติภพทั้งหลาย สิ้นจากจิตของเรา ทรงอารมณ์ในอารมณ์แห่งอรหัตผลสูงสุดในอารมณ์พระนิพพาน กายพระวิสุทธิเทพยิ่งสว่างขึ้นใสขึ้น อารมณ์จิตเราแนบมั่นคงอยู่กับพระนิพพานสว่างขึ้น อธิษฐานจิต ขอสภาวะแห่งพระนิพพาน วิมานทั้งหลาย ของทุกท่านทุกๆพระองค์ ขอจงปรากฏสว่าง ให้จิตข้าพเจ้ายัง เห็นสภาวะแห่งพระนิพพานด้วยกำลังแห่งมโนมยิทธิเต็มกำลังความเป็นทิพย์ความผ่องใสเต็มกำลังด้วยเทอญ อันนี้ก็ให้กำหนดรู้ของเรานะ แต่ละคนก็อาจจะไม่เท่ากัน เป็นกำลังสูงสุดตามปัจจัตตัง ตามวาสนาบารมีของแต่ละบุคคลที่เคยปฏิบัติเคยฝึกฝนมา คนที่บำเพ็ญบารมีเพื่อพระโพธิญาณก็ย่อมมีญาณเครื่องรู้ที่ชัดเจนกว้างขวาง สว่างกว่าเป็นธรรมดา คนที่จิตมีความสะอาดปล่อยวางได้มากก็มีความชัดเจนความสว่างเป็นธรรมดา คนที่จิตปราศจากวิจิกิจฉาความลังเลสงสัยก็มีความมั่นคงชัดเจนกระจ่างกว่าเป็นธรรมดา

เมื่อจิตเราเข้าถึงสภาวะแห่งพระนิพพาน ทั้งอารมณ์จิต ทั้งสภาวธรรม ทั้งความเป็นทิพย์ ภาคทิพย์ เราก็อธิษฐานว่าด้วยกำลังของพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ พระคุณของพระรัตนตรัยนี้ ทำให้ข้าพเจ้าได้อย่างถึงความดีได้สัมผัสรสแห่งกระแสพระธรรม ชโลมรดลงสู่จิตของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าน้อมสำนึกในพระคุณแห่งพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ ครูบาอาจารย์ทุกพระองค์อย่างยิ่งยวด ขอความนอบน้อมความกตัญญูกตเวทิตานี้ ข้าพเจ้าขออธิษฐานจิตให้การปฏิบัติการเจริญพระกรรมฐานทั้งหมดของข้าพเจ้า ขอน้อมถวายเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา บูชาคุณพ่อแม่บิดามารดาทั้งในชาติปัจจุบันและอดีตชาติ บูชาคุณครูบาอาจารย์ครูอุปัชฌายะ บูชาคุณเทพพรหมเทวดาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ท่านผู้มีพระคุณ เทพพรหมที่ปกปักรักษาคุ้มครองข้าพเจ้า ด้วยอำนาจแห่งความกตัญญูกตเวทิตานี้ ขอมงคลทั้งหลายขอความประเสริฐทั้งหลาย ขอความรุ่งเรืองทั้งหลาย ความเจริญในพระพุทธศาสนาแห่งองค์สมเด็จพระสมณโคดมพระพุทธเจ้า จงปรากฏต่อข้าพเจ้าคล่องตัวรุ่งเรืองทั้งทางโลกและทางธรรมด้วยเทอญ

จากนั้นน้อมจิตนะให้กายทิพย์เราสว่างที่สุดตั้งใจว่า เราอาราธนากระแสบุญจากพระนิพพาน คือ คุณความดีกุศลของพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ น้อมรวมลงเป็นกระแสพระพุทธเมตตากระแสบุญศักดิ์สิทธิ์ จากพระนิพพานแผ่ลงมายังสามภพ สามภูมิ สามแดนโลกธาตุ น้อมกระแสบุญกระแสเมตตาลงไปยังพบของอรูปภพทั้ง ๔ น้อมกระแสลงไปจากพระนิพพานลงไปสู่ภพแห่งรูปพรหมคือพรหมทั้งหลายทั้ง ๑๖ ชั้นน้อมกุศลน้อมกระแสจากพระนิพพานลงไปยังอากาศเทวดาความเป็นทิพย์ทั้งหลายทั้ง ๖ ชั้นนะตั้งแต่จตุมหาราชิกา ดาวดึงษารามจนกระทั่งถึง ปรมินทร์ แผ่เมตตาต่อไปลงไปยังภพภูมิของรุกขเทวดา ภูมิเทวดา ทั่วอนันตจักรวาลน้อมกระแสพระนิพพานแผ่เมตตาลงไปยังภพภูมิของมนุษย์และสัตว์ที่มีขันธ์ ๕ กายเนื้อกายหยาบทุกดวงดาวทั่วอนันตจักรวาล ทั่วทั้งจักรวาลน้อยจักรวาลใหญ่แผ่เมตตาต่อไปยังดวงจิตดวงวิญญาณโอปปาติกะสัมภเวสีทั้งหลายทั่วจักรวาล ชาวเมืองบังบด ชาวเมืองลับแล มิติที่ทับซ้อนทั้งหลาย แผ่เมตตาต่อไปยังบรรดาดวงจิตของเปรต อสุรกายทั้งหลาย แผ่เมตตาต่อไปยังภพภูมิของสัตว์นรกทุกขุม จากนั้นน้อมกระแสอาราธนาบารมีสมเด็จองค์ปฐมทรงเครื่องจักรพรรดิเมตตาปรากฏเปิดโลก เปิดจักรวาล ให้กระแสบุญกุศลไปถึงสรรพสัตว์ทั้ง ๓ ภพภูมิ สว่างทั่วจักรวาลเปิดโลก เปิดสามแดนโลกธาตุ ให้กระแสแห่งกุศลกระแสแห่งบุญกระแสแห่งพระนิพพานกำลังของพุทธานุภาพ คุณธรรม ศีลธรรม จริยธรรมความดี แผ่ลงไปถึงดวงจิตทั่วสังสารวัฏฏ์ มีเชื้อ มีเมล็ดพันธุ์แห่งกุศลผลบุญความดี รู้ตื่นขึ้นตามวาระตามเหตุตามปัจจัยตามวาสนาบารมีของตนด้วยเทอญ

จากนั้นกำหนดน้อมกระแสจากพระนิพพานบุญกุศลทั้งหลายพุทธานุภาพ ธรรมานุภาพ สังฆานุภาพ อาราธนารวมลงสู่โลกลงมาสู่พื้นแผ่นดินไทย ขอกำลังแห่งพุทธานุภาพคุ้มครองรักษาให้ผืนแผ่นดินนี้มีความอุดมสมบูรณ์สันติสุขร่มเย็น อุดมสมบูรณ์ ขอดินแดนนี้จงเป็นเขตจารึกพระพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรืองตราบห้าพันปี ขอกระแสบุญกุศลน้อมพิทักษ์รักษาสถาบันพระมหากษัตริย์ให้มีความมั่นคง ๓ สถาบันมั่นคงเป็นหนึ่ง เพื่อพิทักษ์รักษาพระพุทธศาสนา จากนั้นน้อมกระแสจากพระนิพพานลงมายังเขตวัดวาอารามสถานปฏิบัติธรรมทั้งหลาย ขอชำระล้างมลทินเครื่องเศร้าหมองแห่งพระพุทธศาสนา ขอกระแสแห่งพระนิพพานบุญกุศลพุทธานุภาพลงมาสถิตรักษาพระพุทธรูปทุกพระองค์ พระธาตุเจดีย์ พระบรมสารีริกธาตุ สิ่งใดที่เป็นวัตถุเครื่องระลึกตักเตือนให้นึกถึงพระพุทธศาสนา คือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ก็ขอมีกำลังแห่งพุทธานุภาพ สลายล้างอวิชชาคุณไสยทั้งปวง ศาสตร์มืดทั้งหลาย สิ่งที่แฝงทั้งหลายจงสลายตัวไปให้หมด มีแต่ความผ่องใส มีแต่กระแสธรรมอันบริสุทธิ์เป็นกระแสแห่งสัมมาทิฏฐิ เป็นกระแสโลกุตรธรรม

จากนั้นน้อมกระแสบุญ ทาน ศีล ภาวนา ทั้งหลายที่พระพุทธเจ้า พระปัจเจก พุทธเจ้าทุกๆพระองค์ได้บำเพ็ญมาดีแล้ว ขอน้อมร่วมลงเป็นกำลังบุญจากพระนิพพานลงมาพิทักษ์รักษา พระมหาเศวตฉัตร พระราชบัลลังก์ พระชนม์วานองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระบรมราชินีนาถ พระบรมวงศานุวงศ์ตลอดจน ขอเป็นกำลังบุญเพิ่มกำลังบุญฤทธิ์ เทพฤทธิ์ อิทธิฤทธิ์ ให้กับพระสยามเทวาธิราชกระแสบุญกุศลทั้งหลายน้อมถวายบูชาดวงพระวิญญาณแห่งบูรพมหากษัตราธิราชเจ้าทุกๆพระองค์ ให้มีกำลังปกป้องพิทักษ์รักษาชาติบ้านเมืองแผ่นดิน ขอกระแสบุญกุศลน้อมลงสู่บุคคลผู้มีจิตบริสุทธิ์อันตั้งมั่นปรารถนาดีบำรุงชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ให้เจริญรุ่งเรืองทั้งทางตรงทางอ้อม ก็ขอให้มีเทพยดาเทพพรหมสิ่งศักดิ์สิทธิ์ พระสยามเทวาธิราชรักษาคุ้มครองให้มีความเจริญรุ่งเรืองมีกำลังมีอำนาจอยู่ในจุดที่สามารถสร้างคุณประโยชน์ส่วนรวมได้อย่างยิ่งยวดด้วยเทอญ

เมื่ออธิษฐานดีแล้ว น้อมกระแสกำลังกรรมฐานเราเพื่อชาติบ้านเมืองแผ่นดินเป็นปฏิปทาสาธารณประโยชน์ แล้วเราก็อธิษฐานจิตกราบลาพระพุทธเจ้า กราบลาทุกท่านบนพระนิพพาน ตั้งใจว่าบุญกุศลนั้นเกิดขึ้นปรากฏขึ้นประโยชน์เกิดขึ้นกับจิตเราที่ถอดถอนชำระล้างกิเลส จากจิต รักษาจิต ฝึกจิต ให้แนบกับพระนิพพาน กำลังความบริสุทธิ์ของจิตสมาธิฌานสมาบัติ เราน้อมเป็นกำลังลงมาเพื่อสังสารวัฏคือแผ่เมตตาไม่มีประมาณ เป็นไปเพื่อให้กำลังบุญมาคุ้มของชาติบ้านเมือง แผ่นดิน กราบลาทุกท่านทุกๆพระองค์ด้วยความนอบน้อมพุ่มจิต กลับลงมาบนโลกมนุษย์ให้กายทิพย์ลงมายังกายเนื้อ พร้อมกับอธิษฐานน้อมกระแสคือพลังงานกระแสจากพระนิพพานลงมา ส่องสว่างฟอกธาตุขันธ์ชำระล้างกายของเรา ทั้งกาย ทั้งจิต ทั้งวาจา อธิษฐาน ธาตุธรรมฟอกธาตุขันธ์ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ข้าพเจ้า จงเป็นแก้วใสสะอาดบริสุทธิ์ น้อมกระแสอธิษฐานต่อไปให้โครงกระดูกของข้าพเจ้าทั่วกายกระดูกทุกท่านทั้งหลายทั่วกาย จงเป็นแก้วใสบริสุทธิ์ ธาตุธรรมฟอกธาตุขันธ์ หลอดเลือดเส้นเอ็นทั่วร่างกายจงเป็นแก้วใสสะอาดชำระล้าง เซลล์ทุกเซลล์อวัยวะทุกส่วนอาการทั้ง 32 ทั่วร่างกาย ธาตุธรรมฟอกธาตุขันธ์ เซลล์ทุกเซลล์จงสะอาดใสบริสุทธิ์เป็นแก้ว เซลล์มะเร็ง เซลล์เนื้องอกเซลล์ที่ผิดปกติจงสลายตัวไป ธาตุธรรมฟอกธาตุขันธ์ ให้เซลล์ทุกเซลล์ในร่างกายมีความผ่องใสมีพลัง มีธาตุธรรม ธรรมธาตุอยู่ในทุกอณูอยู่ในทุกเซลล์ ทั่วกายข้าพเจ้า ขอธาตุธรรมนี้ยังขันธ์ 5 สังขารของข้าพเจ้าทุกคนให้มีความสมบูรณ์แข็งแรงยังประโยชน์ในการปฏิบัติธรรมในการเจริญพระกรรมฐานในการสร้างบารมีในการทำงานรับใช้พระพุทธศาสนาได้อย่างเต็มที่สมบูรณ์ด้วยเทอญ โรคภัยไข้เจ็บทั้งหลาย โรคเวรโรคกรรมทั้งหลาย จงคลายจงสลายป่วยไป ด้วยอำนาจของพุทธานุภาพ ธรรมานุภาพ สังฆานุภาพ และกำลังแห่งพระกรรมฐานด้วยจิตอันบริสุทธิ์ กลั่นจิตผ่องใสเพียงใดกลั่นกายผ่องใสหมดโรคหมดภัยฉันนั้นด้วยเทอญ

จากนั้นอธิษฐานนะขอกำลังบุญกุศลความดีที่ข้าพเจ้าได้เจริญจิต เจริญเมตตา เจริญพระกรรมฐาน ทาน ศีล ภาวนาที่ข้าพเจ้าเคยบำเพ็ญมาดีแล้วเคยสละเคยให้มาตั้งแต่อดีตชาติจนถึงปัจจุบัน ขอทานบารมีทั้งหลายจงรวมตัวกัน เปิดสายบุญสายทรัพย์สายสมบัติเป็นสมบัตินับอนันต์เป็นมนุษย์สมบัติอันจับต้องได้ หลั่งไหลลงมาสู่ชาติปัจจุบัน ของข้าพเจ้านี้ให้มีความคล่องตัวมีเงินมีทองมีโชค มีลาภ มีโอกาส มีคนเมตตา มีผู้เกื้อกูลสงเคราะห์ มีผู้ช่วยเหลือเกื้อกูล ขอสายบุญสายทรัพย์สายสมบัติ หลั่งไหลลงมาต่อเนื่องไม่ขาดสาย เป็นสมบัตินับอนันต์ให้ข้าพเจ้ายังประโยชน์ต่อตนเองอย่างประโยชน์ต่อบุคคลครอบครัวคนที่เรารัก พ่อแม่ สามี ภรรยา ญาติทั้งหลายที่พึงช่วย และขอให้สัตว์ทั้งหลายมนุษย์สมบัติทั้งหลายเป็นเครื่องให้ข้าพเจ้าใช้ทำบุญสร้างกุศลสร้างบารมีทำนุบำรุงชาติศาสนา พระมหากษัตริย์สืบต่อไปด้วยเทอญ ขอความคล่องตัวสายสมบัติจงปรากฏ เทพยดาทั้งหลายที่พิทักษ์รักษาสมบัติของข้าพเจ้า ทรัพย์เดิมของข้าพเจ้านี้ได้นำมาส่งให้มอบให้อย่างอัศจรรย์ด้วยเทอญ จากนั้นหายใจเข้าช้าๆกำหนดน้อมอธิษฐานด้วยใจที่ผ่องใสที่สุด เป็นสุขที่สุด หายใจเข้าช้าๆลึกๆหายใจเข้าพุทธ ออกโธ ครั้งที่ 2 หายใจเข้าธัม หายใจออกโม ครั้งที่ 3 หายใจเข้า สัง หายใจออกโฆ พุทโธ ธัมโม สังโฆ มีคุณพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์คุ้มครองจากนั้นลืมตาขึ้นช้าๆเหมือนกับดอกไม้ที่แย้มกลีบใจเป็นสุขแย้มยิ้มผ่องใสจิตเป็นสุขทั้งก่อนที่จะฝึกสมาธิเจริญพระกรรมฐานจิตเป็นสุขผ่องใสในขณะที่เจริญพระกรรมฐานจิตอิ่มผ่องใสเป็นบุญเป็นกุศลแม้ในที่สุดคือเมื่อยามออกจากพระกรรมฐานแล้วใจก็ยังสว่างใจก็ยังเป็นเพชรประกายพฤกษ์อยู่เสมอนะสำหรับวันนี้ก็ขอโมทนาบุญกับเราทุกคน

ตอนนี้งานที่ทำในส่วนที่เป็นกุศลงานในกลุ่มเมตตาสมาธิในช่วงต่อไปก็จะเป็นงานของการเตรียมการหล่อพระเจ้าองค์แสนดวงจิตพระนิพพาน คือการอธิษฐานสร้างพระพุทธรูปจากแผ่นทองคำแสนคำอธิษฐานที่ตั้งจิตว่าจะปฏิบัติเพื่อชาตินี้เข้าถึงพระนิพพานซึ่งตอนนี้งานก็จะจัดงานหล่อขึ้นในเดือนกันยายนแล้วก็ยังต้องจำเป็นต้องใช้ปัจจัยในการจัดสร้างอีกจำนวนหนึ่งซึ่งหากใครมีกำลังจะเป็นต้นบุญรวบรวมปัจจัยที่จะช่วยสนับสนุนในการจัดสร้างพระได้ก็จะเป็นบุญกุศลอย่างยิ่งเพราะพระพุทธรูปที่เราสร้างกันก็ถือว่าเป็นสิ่งที่ทำได้ยากคือรวบรวมแผ่นคำอธิษฐานจิตซึ่งมีกำลังจิตกำลังสมาธิกำลังอภิญญากรรมฐานที่อธิษฐานดังนั้นก็ถือว่าเป็นพระที่พิเศษอธิษฐานไปไว้ที่วัดพุทธโมกข์ ซึ่งหลวงพ่อหนุนท่านเป็นเจ้าอาวาสวันนี้ก็หลายคนทราบแล้ว บางคนก็ยังไม่ทราบบางคนก็ได้ร่วมบุญแล้วแต่ยังขาดปัจจัยอีก ก็ยังสามารถร่วมบุญได้เรื่อยๆ รายละเอียดก็จะได้แจ้งให้ทราบต่อไป สำหรับวันนี้ก็ขอโมทนาบุญกับทุกคนให้เราทุกคนมีความสุขความเจริญมีความตั้งใจในการปฏิบัติอย่างเข้มข้นขึ้นในช่วงเข้าพรรษาปีนี้ซึ่งเหตุการณ์โลกก็ดีเหตุการณ์บ้านเมืองก็ดีอยู่ในช่วงคับขันอยู่ในช่วงที่อันตราย โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อแต่ละบุคคลก็มีโอกาสที่จะมีวิบาก มีเคราะห์ที่มันจะเข้ามา คนที่เจริญพระกรรมฐานนอกจากช่วยตัวเราเองแล้ว บุญก็ยังเป็นชื่อเครื่องช่วยป้องกันคุ้มครองส่วนรวม ยิ่งเราสร้างบุญมากเจริญจิตสมาธิขั้นสูงกันได้มากเท่าไหร่ ก็เป็นกำลังบุญคุ้มครอง ลดบรรเทาเบาบางภัยพิบัติศึกสงครามลงไปได้ ตรงนี้ก็ขอเน้นย้ำให้เราช่วยกันปฏิบัติให้มากขึ้น

สำหรับวันนี้ก็ขอโมทนาบุญกับทุกคน พบกันใหม่สัปดาห์หน้า สำหรับวันนี้สวัสดีครับ

ถอดเสียงและเรียบเรียงโดย : คุณวิษุวัต ใหญ่กว่าวงศ์

คุณไม่สามารถคัดลอกเนื้อหาของหน้านี้ได้